รูปถ่ายพระพุทธเจ้า เคยเห็นไหม รูปที่อ้างว่าเป็นภาพถ่ายพระพุทธเจ้า

รูปถ่ายพระพุทธเจ้า

รูปถ่ายพระพุทธเจ้า เรื่องราวตำนานรูปที่อ้างว่าถ่ายติดพระพุทธเจ้าเมื่อหลายสิบปีก่อน โด่งดังแพร่กระจายไปทั่วประเทศ แต่รูปนี้เป็นของจริงแน่หรือเปล่า เรามาหาคำตอบในคลิปนี้กัน

รูปถ่ายพระพุทธเจ้า

ตำนานเล่าไว้ว่าย้อนกลับไปในอดีตปี พ.ศ. 2523 นายแพทย์ชาวอังกฤษชื่อ Bernard เดินทางไปเที่ยวที่ประเทศอินเดีย เห็นประเพณีโบราณและมรดกวัตถุหลายๆอย่าง ซึ่งหลายๆสิ่งที่เขาเห็นนั้น

แม้จะมีสิ่งที่ดีบ้าง สิ่งล้าสมัย ทำให้เขาเกิดคำตอบอยู่ในใจกระทั่งได้มาถึงสถานที่ที่เรียกว่าพุทธคยา พุทธคยาเป็นจุดที่เชื่อว่าเป็นสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ดังนั้นที่แห่งนี้จึงกลายเป็นสถานที่สำคัญอย่างยิ่ง ในศาสนาพุทธ นายแพทย์ได้มาเที่ยวชมนั้น ก็มีโอกาสได้เห็นประเพณีเวียนเทียนในวันวิสาขบูชา ที่เจดีย์พุทธคยา

โดยส่วนตัวของเขานั้นเป็นผู้ที่ไม่เชื่อในศาสนาพุทธ ไม่เข้าใจทำไมประชาชนเคารพกราบไหว้ต้นโพธิ์ ก็นึกตอนนี้อยู่ในใจ ประชาชนเหล่านั้นที่เคารพบูชาต้นไม้ เมื่อสอบถามเหตุผลจึงได้คำตอบที่ว่า

นั่นเป็นต้นไม้ที่เชื่อว่าเจ้าชายสิทธัตถะเคยประทับ ได้ตรัสรู้ ก่อให้เกิดเป็นศาสนาพุทธ เมื่อได้คำตอบ เขาก็เกิดคำถามอีกว่า เรื่องของเจ้าชายสิทธัตถะ เป็นเพียงแค่นิทานเรื่องเล่าที่แต่งขึ้นไม่ใช่หรือไง

นึกเหยียดหยามอยู่ในใจ เพียงแค่ไม่พูดอะไรออกมาให้เกิดเป็นปัญหา เมื่อตกดึกเขาก็นอนฝันเห็นสิ่งที่แปลกประหลาดขึ้น เขาฝันว่าได้ย้อนกลับมาที่พุทธคยาอีกครั้ง แต่ภาพตรงหน้านั้น ดูแปลกตา เห็นเป็นป่าเต็มไปหมด กระทั่งมองเห็นต้นโพธิ์ใหญ่ เห็นมีพระองค์หนึ่งนั่งอยู่

และเปล่งประกายรัศมีงดงามมาก จึงเดินเข้าไปถามว่าท่านเป็นใครมาทำอะไรที่นี่ พระองค์นั้นตอบกลับมาว่าเรา คือสิทธัตถะ สละราชสมบัติ เพื่อมาบวชและนั่งที่ตรงนี้จนได้ตรัสรู้ นายแพทย์เบอร์นาร์ดด้วยความสงสัยจึงย้อนถามกลับไปว่า เจ้าชายมีจริงหรือ ก็ได้คำตอบว่า ใช่มีจริง และ ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ใต้ต้นโพธิ์ พร้อมยังบอกกับเขานั้นอีกว่า

ท่านไม่เชื่อเพราะไม่เคยศึกษา ท่านเก่งในวิทยาศาสต ร์แต่ไม่ได้เก่งในทางธรรมะ หากท่านได้ศึกษาธรรมะ ท่านก็จะรู้แล้วไม่ไปตำหนิผู้อื่น เมื่อไม่ได้ศึกษาแล้วไปตำหนิผู้ที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก่อนนั้นไม่ถูกต้อง เมื่อเบอร์นาร์ดใด้ฟังก็เกิดเลื่อมใส และ น่าเสียดายที่ไม่ได้นำกล้องถ่ายรูปมาด้วย

ไม่อย่างนั้นเขาจะได้นำเอารูปของเจ้าชายสิทธัตถะ ได้พบเห็นเมื่อได้คำตอบที่พึงพอใจหลังจากนั้นเขาก็หลับและตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น เขายังคงครุ่นคิดถึงความฝันนั้น และตัดสินใจออกเดินทาง อีกครั้งพร้อมกับกล้องฟิล์ม หวังจะถ่ายรูปให้โลกได้เห็น

เมื่อไปถึงเขาค่อยถ่ายต้นไม้ตำแหน่งที่เขาฝันถึง พร้อมกับนึกในใจว่าพระพุทธเจ้ามีจริงหรือ ตัสรู้ที่นี่จริงหรือไม่ ขอให้ถ่ายติดสักรูป หลังถ่ายรูปในมุมต่างจนครบเมื่อเขานำฟิล์มไปล้าง ผลออกมาว่ารูปที่ถ่ายทั้งหมด ถ่ายอะไรไม่ติดเลยแม้กระทั่งใบไม้ใบหญ้า คำว่าอย่างที่เขาขอไว้มีรูปเดียวที่ติด ความน่าเหลือเชื่อมาด้วย เมื่อได้ผลอย่างนี้แล้วเขาจะเก็บกระเป๋ามาที่บ้านเกิด และนำเรื่องนี้ไปบอกคนอื่น

แต่ไม่มีใครเชื่อและหาว่าเขาหลอกลวงเหลวไหล แม้กระทั่งครอบครัวเองก็ยังคิดว่าเขาเสียสติไปแล้ว เมื่อเวลาผ่านไปชีวิตของเขาก็แย่ลง เป็นเพราะเขาไม่ได้รักษาสัจจะ ที่จะนำรูปให้ทั่วทั้งโลกได้เห็น เขาจึงได้นึกถึงคำสอน ที่บอกว่าให้ลองศึกษาธรรมะ เขาจึงตัดสินใจกลับไปขอบวชที่วัดพุทธคยา หลังจากนั้นมีพระสงฆ์ชาวไทย ได้ไปจาริกแสวงบุญที่นั่นและได้สนทนาธรรม กับพระเบอร์นาร์ด จึงเกิดเลื่อมใส ได้ถ่ายรูปนี้มา

และนำมาเผยแพร่ในไทยอีกครั้ง ดูรูปถ่ายของพระพุทธเจ้านั้น กระจายแพร่หลายไปทั่วประเทศไทย จัดการตีพิมพ์แจกจ่ายต่อเนื่องในหนังสือ หรือ เป็นรูปประดับตกแต่งในสถานที่ทางศาสนา และตามบ้านเรือนทั่วไป หรือตัวผมเองก็เคยเห็นมาตั้งแต่เด็กพร้อมกับตำนานที่บอกออกไปนั้นก็แตกต่างกัน

เช่น บ้างว่าเป็นภาพนิมิตบ้าง ว่าเป็นพระสงฆ์ไทยเองที่ถ่ายได้ นอกจากนั้นรูปของแต่ละที่ก็มีลักษณะรายละเอียดที่แตกต่างกัน เช่นเป็นภาพสีหรือเป็นภาพขาวดำ แน่นอนว่ามีผู้ที่สนใจในศาสนาพุทธหลายท่านสงสัยเช่นกัน ว่ารูปนี้เป็นของจริงหรือไม่ แล้วพวกเขาก็ได้หาคำตอบต้องสามารถดูข้อเท็จจริงได้แล้วว่า

นี่คือภาพวาดที่ถูกวาดขึ้นโดยเป็นฝีมือของจิตรกรชาวสเปนผู้มีชื่อเสียงดูอาร์โด้ชิชาริโต้ ได้วาดเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ 1921 หรือ พ.ศ 2464 มีชื่อว่า hasta buda buda แปลได้ว่าสิ่งยั่วยวนของพระพุทธเจ้า

เขาได้แรงบันดาลใจจากละคร ธนัฏฐา บุคคลสำคัญที่ได้รับรางวัลโนเบลคนแรกของเอเชียคำอธิบายของรูปนั้นแตกต่างกับเรื่องราวของไทยเล็กน้อย โดยกล่าวว่าเป็นเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าต่อสู้กับนางอัปสร ที่แปลงกายเป็นหญิงสาว เข้ามาล่อลวงให้เกิดกิเลส แต่พระพุทธเจ้าไม่หวั่นไหวต่อสิ่งยั่วยวน ซึ่งเป็นบทที่น่าสนใจและเป็นรูปที่สวยงามมาก

ปัจจุบันรูปนี้ถูกจัดแสดงอยู่ที่ responsive หรือราชบัณฑิตยสถานวิจิตรศิลป์เฟอร์นันโดในกรุงมาดริดประเทศสเปน จริงแล้วเรื่องนี้ก็ถูกนำมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง และมีการนำหลักฐานเอามาพูดอีกหลายครั้ง

ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาในสื่อต่างน่าสนใจว่าเรื่องการถ่ายรูปพระพุทธเจ้าที่ควรจะปรินิพพานไปกว่า 2004 ปี นั้น ทำไมถึงได้รับการเชื่อถือมากขนาดนี้ เพราะหากเป็นเรื่องจริง นอกจากจะเป็นประโยชน์มหาศาลต่อด้านศาสนา และในทางวิทยาศาสตร์เองก็จะต้องสะเทือนเช่นกัน

หรือหากเรามองสิ่งต่างก็จะเห็นจุดที่น่าสงสัยเต็มไปหมดว่าเรื่องราวที่เล่ามานั้นจริงแน่หรือไม่ในพุทธศาสนาเอง ก็มีหลักคำสอนกาลามสูตร ที่สอนให้อย่าเชื่อ อย่างงมงาย โดยขาดการใช้ปัญญาพิจารณาเรื่องราวต่างๆด้วยตนเองอย่างถี่ถ้วน

ดังนั้นเมื่อได้ยินได้ฟังได้รับรู้เรื่องแล้วควรพิจารณาให้เกิดความสงสัยและนำความสงสัยนั้นไปต่อยอดศึกษาไตรตรองหาความจริงที่มันควรจะเป็นซึ่งสุดท้ายจะเชื่อเอาอย่างใดก็แล้วแต่วิจารณญาณของทุกท่านเอง

เป็นยังไงกันบ้างกับเรื่องที่ทางเราได้นำเสนอออกไป ใครที่ชอบหรือไม่ชอบยังไงสามารถแสดงความคิดเห็นไว้ได้เลยนะครับ สำหรับใครที่อยากจะดูเรื่องเกี่ยวกับอะไร สามารถบอกเข้ามาได้เลย สุดท้ายนี้อย่าลืมกดติดตาม พร้อมเหลา ไว้ด้วยนะครับ

ใส่ความเห็น