ประวัติ Magdeburg unicorn : ฟอสซิลที่อีหยังวะที่สุดในโลก

Magdeburg unicorn

การประกอบฟอสซิลเป็นเรื่องยาก แต่ Magdeburg unicorn ก็ดูหลุดโลกเสียจนสร้างความฉงนให้กับผู้ได้พบเห็น รวมถึงประวัติของมันยังซับซ้อนและงงงวยอีกด้วย เพราะมันเกิดจากนักวิชาการที่เชื่อว่า unicorn มีอยู่จริง เรื่องราวจะเป็นอย่างไรเราไปดูและติดตามกันได้เลยที่นี่ พร้อมเหลา ขอนำเสนอวันนี้

ประวัติ Magdeburg unicorn

คุณคิดว่า unicorn มีจริงไหม ถ้ามีจริงคุณคิดว่าโครงกระดูกของมันจะมีหน้าตาแบบไหน ที่เห็นอยู่ไม่ใช่รูปปั้นหรือแบบจำลองที่ทำการขึ้นมาแค่ขำๆ แต่เป็นการประกอบสร้างฟอสซิลของจริงที่ใครๆก็สามารถไปพิสูจน์ได้ นี่คือ เรื่องราวของยูนิคอร์นแห่งเมืองมักเดเบิร์กอยู่ในการประกอบฟอสซิลที่อีหยังวะที่สุดในโลก แบบจำลองฟอสซิลที่เราเห็นกันอยู่นี้เก่าแก่กว่า 300 ปี ผู้คนเชื่อว่ามันเป็นโครงกระดูกของยูนิคอร์น สัตว์ในตำนานที่เคยเชื่อว่ามันมีอยู่จริงๆ ก่อนที่กาลเวลาผ่านไปวิทยาศาสตร์และความรู้ต่างๆขึ้น จนทำให้ผู้คนเริ่มมองเห็นแล้วว่าเจ้าโครงกระดูกนี้ มันหลุดโลกไปมากแค่ไหน เราลองมาดูกันว่าที่มาของแบบจำลองสุดแปลกตานี้คือยังไงกันแน่ ย้อนกลับไปในยุคศตวรรษที่ 17 ช่วงเวลาที่เสื้อไอแซกนิวตันกำลังนั่งมองแอปเปิ้ล อยุธยากำลังเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรือง และเป็นยุคช่องต่อระหว่างยุคเรเนสซองส์หรือยุคเรืองปัญญา ในเวลานั้นยังเป็นช่วงแรกของการค้นพบซากฟอสซิลโครงกระดูก ของเราสักขนาดยักษ์ที่พวกเขาไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

ในยุคสมัยที่ฟอสซิลไดโนเสาร์ยังเป็นเรื่องใหม่ ย่อมมีการจินตนาการถึงหน้าตาของสัตว์ยักษ์ที่แตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะความเชื่อที่ว่ามันอาจจะเป็นสิ่งที่หลงเหลือของสัตว์ในตำนานเก่าแก่ต่างๆ ดังเช่นเรื่องในบริเวณเทือกเขา scrambled ในประเทศเยอรมนี มีถ้ำแห่งหนึ่งชื่อว่าเป็นถ้ำของ unicorn อยู่ถ้ำแห่งนี้มีตำนานเก่าแก่ว่า ครั้งหนึ่งมีหญิงชรารอบรู้ที่ช่วยให้คำปรึกษากับชาวบ้าน วันหนึ่งเธอถูกขับไล่จากนักบวชดำ ซึ่งเธอก็ได้รับการคุ้มครองจากยูนิคอร์น และได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในกลุ่มของแม่มด กระทั่งเหล่านักบวชหายไปในหลุมลึกที่เป็นทางเข้าไปสู่ปากถ้ำแห่งนี้ นอกจากนี้ที่ถ้ำยังพบกระดูกของสัตว์ที่พวกเขาเชื่อว่า เป็นยูนิคอร์น และนำมาบดปัญญาซื้อขายกันตั้งแต่ช่วงปี 2500 กระทั่งมีการค้นพบซากโครงกระดูกของสัตว์ขนาดใหญ่ พร้อมกับเขาแหลมยาวในปี 1663 และก่อนที่จะมาเป็นรูปแบบที่เราเห็นนี้ได้ เรื่องนี้มีตัวละครสำคัญ 2 คน

Auto forged tribes of midgard เป็นทั้งนักประดิษฐ์นักวิทยาศาสตร์และนักการเมือง เขามีผลงานมากมายโดยเฉพาะการประดิษฐ์ปั๊มสูญญากาศ ส่วนสปีดวิลเฮล์มไลบ์นิซเป็นนักปรัชญาคณิตศาสตร์และนักกฎหมาย เขายังเป็นผู้ร่วมพัฒนาแคลคูลัสกับเซอร์ไอแซกนิวตัน ทั้งสองคนเป็นนักคิดนักวิชาการที่มีความสามารถ แต่พวกเขาก็ยังมีด้านที่เชื่อว่าโลกของเราเคยมีม้าสีขาวงามสง่ากับเขาแหลมอยู่บนหัว โดยเฉพาะ this ที่ชื่อว่าตำนานสัตว์ประหลาดต่างๆ เคยมีตัวตนอยู่จริงในอดีต ตั้งแต่สุนัขพูดได้พูดที่นี่และยูนิคอร์น หลายๆบทความของเขามักถูกยกมาเป็นตัวอย่างถึงการที่เขาอธิบายลักษณะ ให้ตรงกับสิ่งที่เขาสนใจหรือเปลี่ยนเนื้อหาไปตามความคิดเห็นของผู้อ่าน สำหรับซากฟอสซิลนั้น ในตอนแรกเกิลลิตเชื่อว่ามันเป็นของยูนิคอร์นตามแหล่งที่พบมัน ได้กล่าวอธิบายลักษณะที่เป็นไปได้ของเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้เอาไว้ มีการกล่าวว่าเขาได้สร้างแบบจำลองขึ้นมาในปี 1668 แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าจริงหรือไม่ กระทั่งหนังสือชื่อ Protozoa ได้เผยแพร่ในปี 1749

หลังจากที่ไร้นี้เสียชีวิตไปแล้วถึง 30 ปี ภายในหนังสือมีการอธิบายลักษณะดวงถึงแนบรูปภาพเบิร์นฮาร์ทวาเลนตินี่วาดขึ้น ซึ่งอาจจะมีมาก่อนการประกอบฟอสซิลขึ้นอีก และนั่นก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่า ระหว่างรูปวาดแบบจำลองอะไรเกิดขึ้นก่อนกันแต่ที่แน่ๆ หน้าตาแบบนี้มันไม่น่าใช่มั้งเรื่องราวของการประกอบอาชีพที่แปลกประหลาดนี้ เกิดขึ้นมาในยุคที่ยังคาบเกี่ยวระหว่างความเชื่อ และวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ตั้งแต่เมื่อ 300 กว่าปีที่แล้วลองคิดดูว่าเราต้องพร้อมกับสร้างของสิ่งมีชีวิตที่เราไม่รู้จัก เราจะสามารถประกอบชิ้นส่วนอายุหลายหมื่นหลายล้านปีนี้ขึ้นมาได้ยังไง สำหรับมักเดเบิร์กยูนิคอร์นนักวิชาการบางส่วนเชื่อว่า มันเป็นส่วนที่เหลือของ bully ไดโนซอร์สนำมาประกอบกันผิดรูป บ้างก็ว่ามันถูกประกอบขึ้นจากสัตว์หลายๆชนิดรวมกัน นั่นคือ เขาจากมาเวลกะโหลกจากบุหรี่ไดโนซอร์สหัวไหล่และขาจาก coolant กรณีแปลกๆแบบนี้ไม่ใช่แค่มักเดเบิร์กยูนิคอร์นเท่านั้น จริงๆแล้วยังมีอีกหลายกรณีที่เกิดความเข้าใจผิด จนทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ผิดไปจากสิ่งที่ควรจะเป็น

การประกอบและตีความหน้าตาของสัตว์ยุคดึกดำบรรพ์ ไม่สามารถหาคำตอบสุดท้ายที่แน่นอนได้ เป็นเพียงการคาดเดาจากข้อมูลต่างๆที่นำมาประกอบเข้าด้วยกัน เพราะเหตุนี้นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญจึงต้องปรับปรุงแนวคิดและวิธีการต่อไปเรื่อยๆ ตัวอย่างเช่น ฉลาม helical ที่ถูกตีความถึงหน้าตาของมันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆตลอดหลายสิบปี หรือยังไดโนเสาร์ที่เคยมองว่ามีผิวหนังแบบกิ้งก่า แต่ปัจจุบันเกิดปัญหาไหมที่ว่าพวกมันอาจจะมีขนแบบนกมากกว่า

ปัจจุบันเราสามารถเข้าชมโมเดลของยูนิคอร์นได้ที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ ในเมืองมาเบิกประเทศเยอรมนี อย่างน้อยนี่ก็เป็นหลักฐานหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของการค้นพบของมนุษย์ที่น่าจดจำ และทำให้เห็นว่าวิวัฒนาการของวิทยาศาสตร์นั้นก้าวหน้ามาไกลแค่ไหน หรือว่า ถึงแม้จะมีโอกาสน้อย แต่ใครจะไปรู้ว่าหลายล้านปีก่อนอาจจะมีสัตว์หน้าตาแบบนี้จริงๆก็ได้นะ สามารถติดตามเรื่องเล่าต่างๆได้ที่ พร้อมเหลา

ใส่ความเห็น