Piltdown man ฟอสซิลรอยต่อวิวัฒนาการมนุษย์ ที่เป็นแค่เรื่องโกหก

Piltdown man

บทความนี้พูดถึงฟอสซิล Piltdown man ที่รองรับกับทฤษฎีวิวัฒนาการแบบเก่า ที่เชื่อว่ามนุษย์มาจากลิงโดยตรงเท่านั้น ไม่ใช่การกล่าวถึงหรือปฏิเสธทฤษฎีวิวัฒนาการโดยรวม จุดเชื่อมต่อคนกับลิงที่ไม่มีอยู่จริง? เราไปติดตามกันได้เลย

Piltdown man ฟอสซิล

ครั้งหนึ่งเคยมีการค้นพบที่ถูกเรียกว่าเป็นจุดเชื่อมต่อที่หายไป และสนับสนุนทฤษฎีที่ว่า มนุษย์วิวัฒนาการมาจากลิง ก่อนที่นั่นจะกลายเป็น 1 ในการหลอกลวงครั้งใหญ่ที่สุดในวงการวิทยาศาสตร์ ในแวดวงวิทยาศาสตร์นั้น มีการค้นพบและแข่งขันกันมาอย่างยาวนาน การค้นพบหลายๆครั้งถูกยกให้เป็นสิ่งสำคัญในการให้ความรู้และการพัฒนาของมวลมนุษยชาติ เมื่อเป็นแบบนี้จึงมีผู้ไม่หวังดีบางคนต้องการผลประโยชน์ โกหกสร้างหลักฐานปลอมขึ้นมา เพื่อเสริมสร้างหน้าตาฐานะให้กับตัวเอง โดยไม่สนใจว่ามันจะถูกผิดแค่ไหน เราจึงมักจะเห็นการทดลองหรือหลักฐานที่ผิดแปลกไปจากความเป็นจริง ตลอดประวัติศาสตร์ ทำให้นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญต้องช่วยกันตรวจสอบ และพิสูจน์ทุกๆคนงานของกันและกันอยู่เรื่อยๆ แต่บางครั้งพวกเขาก็ยังพลาดอยู่ดี เช่นเหตุการณ์ Piltdown man ความน่าทึ่งของการประสบความสำเร็จ สร้างความน่าเชื่อถือได้นานถึง 40 ปี

และเป็นการหลอกลวงครั้งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20 ในช่วงปี 1910 ถึง 1912 ชาวดอว์สันทนายความและนักธรณีวิทยาสมัครเล่นภาษาอังกฤษ ได้ขุดค้นพบซากฟอสซิลจำนวนหนึ่ง ที่ประกอบด้วยหัวกะโหลกฟันกรามและอื่นๆ ในบริเวณพื้นที่ผิวดาวในชุดแซกประเทศอังกฤษ จากนั้นดอว์สันจึงนำตัวอย่างไปให้ผู้ดูแลฝ่ายบรรพชีวินวิทยาพิพิธภัณฑ์อังกฤษอย่าง other Smith swirl ตรวจสอบ หลังจากนั้นวู้เวิร์ดจะประกาศเรียกประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญธรณีวิทยา ในวันที่ 18 ธันวาคมปี 1912 โดยอ้างว่าฟอสซิลนี้เป็นของสปีชีส์ที่ยังไม่เคยถูกค้นพบมาก่อน ของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวกันกับมนุษย์ในยุคภัยโตซีน และนี่อาจเป็นต่อชิ้นสำคัญของการวิวัฒนาการระหว่างลิงและมนุษย์ในยุคแรกเริ่ม จากการค้นพบที่มีการตั้งชื่อสปีชีส์สมัยนี้ว่า orchestra และมีชื่อเรียกง่ายๆ 2 ชื่อคือ ดอว์สันดอแมนตามผู้ค้นพบ และอีกชื่อว่าผิวดาวแมน ตามตำแหน่งที่ขุดค้นพบ รูปร่างของผิวดาวแมนนั้นมีลักษณะผสมระหว่างส่วนกะโหลกที่บ่งบอกว่า มีขนาดสมองขนาดใหญ่แบบมนุษย์ปัจจุบัน

แต่มีฟันกรามที่ใหญ่คล้ายกับของลิง ดูแล้วเป็นส่วนผสมตรงกลางระหว่างมนุษย์และลิงที่ลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ การกล่าวอ้างนี้ได้รับการเชื่อถือและรับรองจากนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังหลายคนของอังกฤษ ทำให้การค้นพบนี้ได้รับการพูดถึงและเป็นที่ถกเถียงกันในวงกว้าง หลังจากนั้นในปี 1913 และ 1914 ยังมีการขุดค้นพบในบริเวณที่เจอผิวดาวแมนเพิ่มเติม ซึ่งสามารถพบลักษณะของเครื่องมือที่ทำจากหินชิ้นส่วนสัตว์ และแผ่นกระดูกที่ถูกแกะสลักในรูปแบบที่นักวิทยาศาสตร์เรียกมันว่าไม้ทิกเกรด รวมถึงก่อนที่ดอว์สันจะเสียชีวิตในปี 1916 เขายังได้แจ้งวู้เวิร์ดว่ามีการขุดพบฟันและส่วนกะโหลกบางส่วนในบริเวณใกล้ๆกันกับจุดค้นพบแรกอีกด้วย ผิวดาวแมนยังคงได้รับการยอมรับอย่างมากในวงการบรรพชีวินวิทยา ในฐานะของการเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญในวิวัฒนาการ แต่ก็เกิดปัญหาตามมาเมื่อทำให้ฟอสซิลโฮโมอิเรคตัส ถูกมองว่าไม่ได้อยู่ในทฤษฎีวิวัฒนาการของมนุษย์ในสมัยนั้น ที่เชื่อว่าการวิวัฒนาการนั้นเป็นเส้นตรง กระทั่งในปี 1926

สถานที่ค้นพบผิวดาวแมนนั้นถูกพบว่าไม่ได้มีอายุเก่าแก่อย่างที่คาดการณ์ในตอนแรก และจากปี 1930 ก็เริ่มมีการค้นพบซากฟอสซิลที่มีอายุเก่าแก่ยิ่งกว่า ทำให้ความเชื่อมโยงของผิวดาวแมนเปลี่ยนไป และไร้จุดยืนในทฤษฎีของยุคต่อมา หลังจากนั้นจึงมีการศึกษาอย่างละเอียดของตัวอย่างผิวดาวแมนในปี 1953 ทำให้เจอความจริงที่น่าตกใจว่าซากฟอสซิลของจุดเชื่อมต่อที่โด่งดังนั้นเป็นของปลอม โดยมันเป็นการประกอบการของตลกของมนุษย์ยุคใหม่ที่อายุราว 500-600 ปีเท่านั้น และประกอบเข้ากับกรามและฟันของลิงอุรังอุตังรวมถึงฟันของลิงชิมแปนซี เมื่อนำมารวมแล้วจึงดัดแปลงให้มันพอดีกันและปกปิดด้วยการทำให้ดูเก่าความเป็นจริง ผิวดาวแมนจึงกลายเป็นหนึ่งในการหลอกลวงที่ประสบความสำเร็จที่สุด โดยมันได้รับการยอมรับนะถึง 40 ปี ก่อนที่หลักฐานต่างๆจะช่วยให้สังคมวิทยาศาสตร์ได้รับรู้ความจริง สำหรับตัวการนั้นมีผู้ต้องสงสัยอยู่หลายคน ตั้งแต่ตัวของดอว์สันผู้ค้นพบวู้ดเวิร์ดที่ทำให้สปีชีส์นี้ได้รับการยอมรับ หรือแม้กระทั่งเซออาร์เธอร์โคแอนดอยล์ผู้แต่ง

Sherlock Holmes ที่มีความเกี่ยวข้องกับดอว์สันและวู้ดเวิร์ด รวมถึงการที่เขาสนใจเรื่องฟอสซิล จนถึงปี 2016 การตรวจสอบที่ใช้เวลา 8 ปี จึงได้ข้อสรุปว่าผู้ร้ายก็คือตัวดอว์สันเองที่ปลอมแปลงหลายๆตัวอย่างในรูปแบบเดียวกัน โดยเชื่อว่าเขาทำเพื่อให้ได้รับการยอมรับในสังคมชนชั้นสูง และวางแผนให้วู้ดเวิร์ดนั้นเป็นแพะรับบาปหาความจริงถูกเปิดเผย สาเหตุที่การค้นพบนี้ได้รับการยอมรับเป็นอย่างมากนั้นมาจากหลายเหตุผล อย่างแรกคือการที่แวดวงวิทยาศาสตร์สมัยนั้น เชื่อว่าทฤษฎีการวิวัฒนาการของมนุษย์นั้นมาจากลิง และมีลักษณะเป็นเส้นตรง กล่าวคือ การค่อยๆพัฒนาของแต่ละสปีชีส์ต่อกันไปเรื่อยๆจนกลายเป็นมนุษย์ ดังนั้น การค้นหาจุดเชื่อมต่อระหว่าง 2 สายพันธุ์จึงมีมานานมาก และผิวดาวแมนตอบโจทย์ได้พอดี อย่างที่สองคือเรื่องของทางการเมือง เมื่อเหล่านักวิชาการยังมีความต้องการให้บรรพบุรุษของมนุษย์อยู่ในแผ่นดินยุโรป โดยเฉพาะในอังกฤษเอง เพราะจะช่วยสร้างความสำคัญและชื่อเสียงให้กับเหล่านักวิชาการในประเทศมากขึ้น

ดังนั้น การได้ค้นพบหลักฐานของมนุษย์ภายในเกาะอังกฤษจึงมีประโยชน์อย่างมาก ไม่ใช่แค่ในด้านธรณีวิทยาได้รวมถึงด้านผลประโยชน์และทางการเมืองด้วย ด้วยเหตุนี้ทำให้การค้นพบก่อนหน้านั้นในเอเชียถูกมองข้าม และการค้นหาในทวีปแอฟริกานั้นถ้าไม่คืบหน้าเลย 

แม้ผิวดาวแมนจะสามารถถูกมองว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่น่าอาย แต่เรื่องราวของมันก็น่าสนใจและให้ประโยชน์ต่อองค์การเช่นกัน เพราะความผิดพลาดนี้ทำให้เราได้รู้ว่า มุมมองต่อทฤษฎีวิวัฒนาการของมนุษย์ในยุคนั้นมีช่องโหว่ ทำให้ต้องเกิดการปรับเปลี่ยน และกลายมาเป็นทฤษฎีที่รับการยอมรับการในยุคใหม่ และทำให้เห็นว่าแม้แต่เราผู้เชี่ยวชาญนั้นก็สามารถผิดพลาดได้ จากความต้องการในหลักฐานหรือการค้นพบที่เป็นไปในทางเดียวกันกับความคิดและมุมมองของพวกเขา ซึ่งทำให้พวกเขาพร้อมที่จะเชื่อ แม้กระทั่งสิ่งที่ผิดหรือคำหลอกลวง เพียงเพราะสิ่งนั้นตอบสนองแนวคิดของพวกเขาเท่า นั้นเอง สำหรับใครที่สนใจอยากเข้าอ่านบทความเรื่องราวต่างๆ  พร้อมเหลา เรามีให้บริการครบทุกเรื่องราว

ใส่ความเห็น