Well to Hell บันทึกเสียงที่ถูกใช้ยืนยันการมีอยู่ของนรก

Well to Hell

พวกเขาขุดหลุมลึกเกือบ 15 กม. และพบเข้ากับสิ่งน่าขนลุกจนไม่สามารถขุดต่อไปได้ พร้อมกับบันทึกเสียงที่ราวกับมาจากนรกแปดแสนล้านภพ แปดแสนล้านชาติ เรื่องจริงของ well to hell เสียงโหยหวนจากนรก

well to hell เสียงโหยหวนจากนรก

พวกเขาขุดหลุมลงไปลึกเกือบ 15 กิโลเมตรและพบเข้ากับเสียงน่าขนลุกจนไม่สามารถขุดต่อไปได้ แต่ที่มาจริงๆของเสียงนี้ไม่ใช่อย่างที่คิด wellcome ลึกสู่นรกในยุคสงครามเย็นนอกจากรัสเซียและสหรัฐอเมริกา จะแข่งกันในการเดินทางไปอวกาศแล้ว พวกเขายังแข่งกันว่าใครจะลงไปจนถึงใจกลางโลกได้ก่อนกัน ราวๆปี 1989 ในพื้นที่ 1 ของไซบีเรียมีโครงการที่ทำงานโดยคณะนักธรณีวิทยาชาวรัสเซีย โครงการนี้ไม่ใช่แค่การศึกษาชั้นใต้ผิวโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นการเก็บเอาแร่ธาตุต่างๆอีกด้วย โครงการนี้นำโดยนักวิทยาศาสตร์ชื่อ dourif คณะนักสำรวจได้ทำการขุดเจาะหลุมลึกถึง 9 ไมล์หรือประมาณ 14 กิโลเมตร ทว่าส่วนหัวของสว่านเจาะนั้นกับหมุนเร็วขึ้นราวกับว่ามันหลุดจากชั้นดิน และอุณหภูมิจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนแตะระดับ 2 หมื่นฟาเรนไฮต์ซึ่งนั่นก็คือมากกว่า 1000 องศาเซลเซียส นายอะสะโคบผู้ควบคุมโครงการจึงลงความเห็นว่าพวกเขาได้เจาะมาถึงชั้นในของโลก และมันมีลักษณะกลวงจากนั้นพวกเขาจึงหย่อนเครื่องมือต่างๆที่สามารถทนต่อความร้อนได้

รวมถึงไมโครโฟนรับเสียงเพื่อดักจับเสียงภายใน เช่นเสียงของแผ่นเปลือกโลก และไมโครโฟนนั้นสามารถบันทึกได้ยาวนานถึงเกือบ 20 วินาที ก่อนที่จะทนความร้อนไม่ไหวและเสียหายไปเสียก่อน ทว่าว่าไม่ใช่เสียงแผ่นเปลือกโลกแต่อย่างใด และกลับเป็นสิ่งที่ชวนขนลุกแทน เสียงที่ฟังดูคล้ายเสียงของผู้คนนับหมื่นนับพันร้องตะโกนโหยหวน ราวกับว่าพวกเขาต้องพบเจอกับการทรมานสาหัสสากรรจ์ ทีมงานส่วนใหญ่ออกจากพื้นที่แทบจะทันที ตามด้วยทีมแพทย์ต้องพบความลำบากในการดูแลพวกเขาจากผลกระทบทางจิตใจที่พวกเขาได้รับ หลังจากนั้นจึงมีข่าวลืออีกว่ามีควันโขมงลอยออกมาจากหลุมและตรงมาที่เหล่านักสำรวจจนขวัญหนีดีฝ่อ ก่อนจะลอยออกไปในหน้าฟ้าของไซบีเรีย บ้างก็ว่าควันเรานั้นมาพร้อมกับเสียงในภาษารัสเซียว่า ถ้าชนะแล้วก่อนจะหายไป บ้างก็ว่ามีสิ่งมีชีวิตคล้ายค้างคาวหลุดจากควันที่ลอยออกมาจากหลุมด้วย ด็อกเตอร์อะสะโคบก็บอกว่าจากเรื่องราวต่างๆ ทำให้เขาเชื่อว่าพวกเขาได้เจาะผ่านประตูไปสู่นรกภูมิเข้าให้แล้ว
 
กับคำพูดของเขาที่ว่าในฐานะคอมมิวนิสต์ผมไม่เชื่อในสวรรค์หรือใบเบิก แต่ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ผมเชื่อเรื่องนรกแล้ว Well to Hell คือเรื่องที่โด่งดังมากในช่วงแรกที่อินเทอร์เน็ตเริ่มแพร่หลาย แน่นอนว่าการกล่าวอ้างถึงการมีอยู่ของนรกเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะหากมันเป็นเรื่องจริงนี่จะกลายเป็นหนึ่งในสิ่งที่สามารถพลิกวงการวิทยาศาสตร์และศาสนาได้ ดังนั้น จึงมีการหาหลักฐานมาหักล้างอยู่ตลอดโดยแบ่งเป็น 2 เรื่องใหญ่ๆ หลุมนี้มีจริงหรือไม่และคลิปเสียงนี้เป็นของจริงหรือเปล่า แน่นอนว่าเรื่องราวตำนานนี้ถูกตั้งข้อสงสัยว่ามันจะเป็นไปได้จริงหรือ อย่างแรกคือในเวลานั้นยังไม่มีการสร้างเครื่องมือที่ภายในเรื่องบอกไปว่าสามารถทนความร้อน 1000 องศาเซลเซียสได้ อย่างที่สองคือตอนนั้นไม่มีโครงการขุดเจาะของรัสเซียในไซบีเรีย สิ่งที่ใกล้เคียงคือมีหลุมลึกที่อยู่ในรัสเซียชื่อโคร่า Superdry ซึ่งทำการขุดเจาะตั้งแต่ช่วงปี 1978 เพื่อศึกษาชั้นใต้ดิน 1 ในบริเวณที่ชั้นดินแดนเก่าแก่ที่สุดในโลกจนถึงปี 1992 จุดที่ลึกที่สุดของหลุมนี้คือ 12 กิโลเมตร 261 M
 
ซึ่งนั่นถือเป็นหลุมที่ลึกที่สุดที่มนุษย์เคยทำได้ ก่อนจะต้องหยุดไปเพราะหัวเจาะทนต่อความร้อนไม่ไหว แล้วปิดตัวลงอย่างเป็นทางการในปี 2008 และแน่นอนว่าไม่มีการพบสิ่งที่ใกล้เคียงกับนรกเลย มีการสังเกตว่าจริงๆแล้วนี่อาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดเรื่องเสียงจากอเวจีนี้ก็ได้ เพราะในปี 1984 มีการตีพิมพ์บทความการขุดเจาะหลุมโคร่าพบกับกระแสแก๊สและน้ำที่มีอุณหภูมิสูงถึง 80 องศาเซลเซียส ส่วนสาเหตุที่เรื่องนี้โด่งดังเป็นที่สนใจนั่นเพราะ Casting Network หรือทีบีเอ็นเครือข่ายทางศาสนาคริสต์จากสหรัฐอเมริกา ที่มีทั้งรายการโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ได้เผยแพร่เรื่องนี้ในปี 1989 พวกเขาใช้ชื่อเรื่องว่า scientist Cover held หรือนักวิทยาศาสตร์ค้นพบขุมนรก ก่อนจะเผยแพร่อีกครั้งโดยเพิ่มเติมเรื่องการพบเจอข่าวที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ทำให้เรื่องนี้โด่งดังและแพร่กระจายออกไปตามสำนักข่าวอื่นๆ โดยเฉพาะสำนักข่าวที่เกี่ยวข้องกับศาสนาแต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็นด้วย เช่นกันมีบทความจากนิตยสารทางศาสนาที่ชื่อ Christian Day to Day ออกมาหักล้างไปตั้งแต่ปี 1990
 
พวกเขาพบว่าจริงๆเรื่องราวนี้ถูกเผยแพร่ครั้งแรกปี 1989 โดยหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับศาสนาในฟินแลนด์ โดยเขียนขึ้นจากเรื่องที่อ่านจากหนังสือ ซึ่งเมื่อสืบลงไปลึกที่สุดทำให้พบว่ามันมาจาก jericho จดหมายข่าวจากแคลิฟอร์เนียที่เผยแพร่โดยกลุ่มคริสเตียนชาวยิว ซึ่งนั่นก็ไม่สามารถยืนยันตัวตนได้ เมื่อหลักฐานไม่มีความหนักแน่นมากพอ ก็ยากที่จะยอมรับเป็นเรื่องจริงไปได้ นอกจากนี้ยังเคยมีหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์แปลงไปว่า เป็นการขุดเจาะในอลาสก้าและมีคน 13 คนต้องตายหลังปีศาจลูกมาจากหลุมด้วย อลังการยิ่งกว่าต้นฉบับซะอีก แล้วเสียงและมาจากไหน แน่นอนว่าเสียงที่สร้างความขนลุกไปทั่วโดยเฉพาะในโลกอินเตอร์เน็ต หากอยากฟังฉบับเต็มสามารถค้นหาใน YouTube ด้วย keyword ว่า wealth หรือ Sound of Hell ได้ มีการตีความว่ามันเป็นแค่เสียงลมร้อนที่พุ่งผ่านอย่างรุนแรงหรือเป็นเสียงหัวจริงๆกันแน่ และถ้ามันเป็นเสียงร้องของคนจริงๆมันจะเป็นเสียงของนรกจริงๆหรือ คำตอบของเรื่องนี้คือการมีผู้ที่ออกมาชี้แจงแล้วว่า
 
มันเป็นสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาต่างหาก โดยเป็นการนำเสียงร้องโหยหวนจากภาพยนตร์ที่คนไม่ค่อยรู้จักเรื่อง broad ปี 1972 มาเล่นวนซ้ำผสมกันกับเสียงร้องอื่นๆ gayzeed YouTube Channel ผู้ทำงานด้านภาพยนต์ได้แสดงให้รู้ว่าเสียงนั้นเป็นรูปแบบการหลูบจริงๆ ด้วยเหตุผลทั้งหมดจึงสรุปได้ว่าเรื่องทั้งหมดนี้คือ 6 หรือการหลอกลวงนั้นเอง น่าสนใจว่าทำไมเรื่องนี้ถึงโด่งดังได้ขนาดนี้ทั้งๆที่เนื้อหานั้นดูแฟนตาซีเกินจริงไปมาก เช่นเรื่องสิ่งมีชีวิตคล้ายค้างคาวที่ผุดออกมานั้นดูน่าเหลือเชื่อเกินไป ซึ่งแน่นอนเพราะมันไม่ใช่เรื่องจริง ครูชาวนอร์เวย์ชื่อ westland ได้ฟังเรื่องนี้ตอนเขาเดินทางมาที่อเมริกา เขาตกใจมากที่ชาวอเมริกันเชื่อจึงตั้งใจจะหาทางทำให้ผู้คนได้ตาสว่าง เขาเขียนบทความสั้นๆโดยบอกว่าเป็นการแปลข่าวของการพบกับสิ่งมีชีวิตแบบค้างคาวอยู่ในเหตุการณ์ด้วย รวมถึงแต่งเรื่องอื่นๆเพิ่มเติมเป็นภาษาอังกฤษและบทความภาษานอร์เวย์ที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกันด้วย พร้อมกับลงชื่อจริงและหมายเลขติดต่อของเขาและบาทหลวงคนอื่นที่รู้ความจริงส่งไปที่ทีบีเอ็น
 
เข้าหวังว่าเรื่องราวได้ออกอากาศจะมีคนติดต่อมาขอความจริงจากเขา และเขาจะเปิดโปงว่าทั้งหมดเป็นเรื่องโกหก แต่ทีบีเอ็นไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลอะไรของเขาเลยและเผยแพร่ต่อไป โดยไม่ได้ลงรายละเอียดการติดต่อลงไปด้วยเติมเชื้อไฟให้นรกโหมแรงขึ้น มีการมองว่าที่เรื่องนี้โด่งดังนั้นนอกจากจะเพื่อการสร้างกระแสได้แล้ว เราสถานีวิทยุโทรทัศน์และสำนักพิมพ์ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาบางกลุ่มต่างเห็นโอกาสที่จะหลักความเชื่อและศาสนานั้นได้รับผลประโยชน์ โดยเฉพาะการที่นักวิทยาศาสตร์ต้องพูดไม่ออก เมื่อพบเจอกับสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจหรือไม่เห็นด้วยอย่างการมีอยู่ของนรก ซึ่งสามารถสร้างความหวาดกลัวและสอดแทรกความเชื่อทางศาสนาให้กับคนฟังได้เป็นอย่างดี เท่ากับว่านอกจากจะสนับสนุนแนวทางความเชื่อได้แล้ว จะเป็นการตอกหน้าเหล่าผู้ที่เห็นต่างได้อีกด้วย 

ปัจจุบันเรื่องนี้กลายเป็นตำนานที่ผู้คนค่อยๆลืมๆกันไปมากแล้ว แต่น่าสนใจว่ามันยังได้รับการพูดถึงอยู่ได้เรื่อยๆ โดยปราศจากการตั้งข้อสังเกตเค้นหาความจริง บางครั้งเรื่องหลอกลวงบางอย่างที่แม้มันจะดูไม่น่าเป็นไปได้ ก็สามารถยืนอยู่จากความกลัวและความเชื่อนี้เอง สนใจอ่านเรื่องเล่าเพิ่มเติมได้ที่ พร้อมเหลา

ใส่ความเห็น