Homo Diluvii Testis ฟอสซิลมนุษย์ในยุคน้ำท่วมโลก?
เป็นเวลาหลายทศวรรษที่ฟอสซิลนี้ ได้เป็นหัวข้อที่นักวิทยาศาสตร์และสาธารณชนให้ความสนใจอย่างมาก นี่คือสิ่งที่เคยถูกเชื่อกันว่าเป็นโครงกระดูกของมนุษย์ดึกดำบรรพ์ Homo Diluvii Testis ซึ่งเคยมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่โลกเกิดภัยพิบัติน้ำท่วมตามคำบันทึกในคัมภีร์ไบเบิล ฟอสซิลที่ชื่อว่าเป็นมนุษย์จากยุคก่อนประวัติศาสตร์นี้คือ การตีความเศร้าที่เกิดจากความเข้าใจผิดเท่านั้น ทำให้มันกลายเป็นฟอสซิลชิ้นแรกของโลกที่ถูกตีความผิดพลาดทางไกลจากความเป็นจริงไปมาก ในปี 1725 ได้มีการค้นพบซากฟอสซิลที่มีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์จากเหมืองหินปูนใน omegle ประเทศเยอรมนี ซากกระดูกนี้มีความยาว 1 เมตรพร้อมส่วนหัวกระโหลกที่มีรูขนาดใหญ่ 2 รูการค้นพบนี้โด่งดังและได้รับความสนใจจากนักธรรมชาติวิทยาหลากหลายคน จนกระทั่งมีการวินิจฉัยที่โด่งดังของชายคนหนึ่งนักธรรมชาติวิทยาชาวสวิตเซอร์แลนด์ผู้มีชื่อเสียง หลังจากที่เขาได้เป็นเจ้าของมันก็เลยตั้งข้อสังเกตว่าโครงกระดูกนี้มีรูปร่างคล้ายกับครึ่งท่อนบนของมนุษย์
โดยดูจากลักษณะที่เหมือนกับกระดูกสันหลังต่อขึ้นมาจนถึงส่วนที่ดูคล้ายกระดูกของมนุษย์ จึงกลายเป็นการตีความว่านี่คือซากที่หลงเหลืออยู่ของมนุษย์ที่อาจจะเป็นเด็ก ซึ่งจมอยู่ภายใต้ผืนน้ำที่ท่วมแผ่นดินของโลก แม้จะฟังดูขัดกับข้อมูลในยุคปัจจุบันที่วิทยาการความรู้ก้าวหน้าไปมากแล้ว แต่สำหรับเวลานั้นการตีความนี้ไม่ได้แปลกแหวกแนวหรือไร้เหตุผลซะทีเดียว โดยมีการบันทึกมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณแล้วถึงการค้นพบซากฟอสซิลต่างๆ โดยเฉพาะสิ่งมีชีวิตใต้น้ำ จึงเกิดเป็นแนวคิดที่ว่าโลกเคยปกคลุมด้วยน้ำมาก่อน แนวคิดนี้สอดคล้องกับเนื้อหาในคัมภีร์ไบเบิล นั่นคือเหตุการณ์ที่พระเจ้าประสงค์จะชำระล้างโลกจึงบันดาลให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ขึ้น โดยมีเพียงโนอาห์ที่รอดพ้นมหาอุทกภัยครั้งนี้จากการได้รับคำเตือนให้สร้างเรือบรรจุสิ่งมีชีวิตที่ถูกเลือกเอาไว้
กลายเป็นที่มาให้มีการสันนิษฐานว่าฟอสซิลที่ได้เจอเป็นสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์ไปเพราะภัยพิบัติน้ำท่วม ในช่วงต้นศตวรรษที่ 18 ซึ่งแม้จะเป็นยุคเรืองปัญญาแต่ก็ยังมีการคาบเกี่ยวระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนาอยู่ ดังนั้น จึงมีนักวิชาการหลายคนพยายามอธิบายการค้นพบต่างๆโดยเนื้อหาที่อ้างอิงจากคัมภีร์ไบเบิล เขาเคยเสนอข้อสันนิษฐานในงานเขียนหลายชิ้นว่าสิ่งมีชีวิตจากอดีตหลายๆชนิดคือ Case of Nature หรือบทละครธรรมชาติโดยเป็นสิ่งที่หลงเหลือจากภัยพิบัติครั้งใหญ่ เมื่อได้พบกับซากฟอสซิลจากเยอรมนีชิ้นนี้เขาจึงสรุปว่า นี่คือการค้นพบหลักฐานที่ยืนยันเหตุการณ์ในพระคัมภีร์เข้าแล้ว ฟอสซิลกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียงมันถูกส่งต่อก่อนจะถูกขายให้กับเทเลอร์ Museum ในเนเธอร์แลนด์ปี 1812 และถูกเก็บรักษาเอาไว้มาจนถึงปัจจุบัน แม้ชวยเซอร์จะเสียชีวิตไปในปี 1733 แต่ข้อเสนอของเขาก็ได้รับการนับถือในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญและคนชั้นสูงเป็นเวลาหลายสิบปี แต่โชคยังดีเพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะเชื่อแบบนั้น
นักธรรมชาติวิทยาหลายคนเกิดความสงสัยว่าซากโครงกระดูกนี้อาจไม่ได้เป็นสิ่งล้ำค่าอย่างที่ชวยเซอร์คิด แม้แนวคิดที่ว่ามันคือมนุษย์ยุคน้ำท่วมโลกจะได้รับการเชื่อถือ แต่ก็เริ่มมีการตั้งข้อสังเกตว่ารูปร่างของกระดูกสันหลังและกะโหลกของ homo deus ดูไม่เหมือนกับรูปร่างกระดูกมนุษย์ที่เคยรู้จักรวมถึงรายละเอียดที่กะโหลกนั้นมีความใกล้เคียงกับสัตว์เลื้อยคลานมากกว่า ข้อโต้แย้งครั้งแรกสุดที่มีบันทึกไว้มาจากปี 1858 โดย johannes kepler ปราชญ์ชาวสวิสที่ตั้งข้อสังเกตว่า มันอาจจะเป็นปลาตระกูลแคทฟิชขนาดใหญ่ ถัดมาในปี 1887 นักปราชญ์ชาวดัตช์ได้เสนอว่ามันคือกิ้งก่าชนิดหนึ่งซึ่งในเวลานั้นยังไม่ได้มีการแยกแยะระหว่างสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ กระทั่งจอร์ชกูวีเยได้สรุปจุดจบที่แท้จริงของฟอสซิลเจ้าปัญหานี้ได้ในที่สุด จอร์ชกูวีเยคือนักธรรมชาติวิทยาและสัตววิทยาชาวฝรั่งเศส ที่ในบางครั้งก็ได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาผู้ก่อตั้งบรรพชีวินวิทยา เขาเผยแพร่บทความในปี 1807
ด้วยข้อสงสัยถึง forcefully ว่าน่าจะเป็นเพียงกระดูกของสลาแมนเดอร์หรือสัตว์ในตระกูลเดียวกันที่มีขนาดใหญ่มากกว่าปกติ กระทั่งในปี 1810 ฝรั่งเศสภายใต้ Napoleon bonaparte ได้ผนวกโซนเหนือของเยอรมนีและฮอลแลนด์ จะตอนนั้นเองที่คูรีเย้ได้แสดงความต้องการจะเข้าไปดูฟอสซิล Homo Diluvii Testis ในพิพิธภัณฑ์ด้วยตนเองนอกเหนือจากนั้นเขายังต้องการจะลงมือแกะซากฟอสซิลนี้เพิ่มเติม สิ่งที่แม้แต่ชวยเซอร์ยังไม่กล้าทำเพราะฟอสซิลนี้ได้รับการยกให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยังไม่มีนักธรรมชาติวิทยาคนไหนกล้าแตะต้อง หลังจากคูรีเย้ที่ได้ลงมือแกะรอยเพิ่มเติมเขาก็ได้พบส่วนแขนเล็กๆและมือทั้งสองข้าง ซึ่งมีลักษณะแบบเดียวกับของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำตรงตามข้อสันนิษฐานเดิมของเขา ปัจจุบันนี้ถูกสรุปว่าเป็นสปีชีส์ของซาลาแมนเดอร์ยักษ์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว มันมีชีวิตอยู่ในสมัยโอลิโกซีนตอนปลายกล่าว 28 ล้านปีก่อนและสูญพันธุ์ไปในสมัยตอนปลายดาว 2.58 ล้านปีก่อน
เรื่องราวของ Homo Diluvii Testis จึงสะท้อนความสำคัญของการค้นหาความถูกต้อง และความจำเป็นในการทักทายสมมติฐานความเชื่อต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ว่าท้ายที่สุดแล้วเรื่องที่เราเชื่ออาจไม่ได้ถูกต้องเสมอไป ติดตามเรื่องเล่าต่างๆได้ทันทีที่นี่ พร้อมเหลา มีครบทุกเรื่องเล่าอย่างแน่นอน