Pocahontas เรื่องราวของหญิงสาว ผู้เป็นสะพานความสัมพันธ์ของสองชนชาตินี้ก็เหมือนกัน ชีวิตของเธอนั้นไม่ได้สวยงามเหมือนกับที่เราเห็นในอนิเมชั่น แต่ซับซ้อนกว่าที่ทั่วไปได้รู้
Pocahontas มีด้านมือดจริงหรือไม่?
promlao คำแปลเนื้อหาวิดีโอนี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับความรุนแรงและการล่วงละเมิดซึ่งปัญหาดังกล่าวยังไม่สามารถสรุปข้อเท็จจริงแน่นอนได้ผู้ชมโปรดใช้วิจารณญาณในการรับชมรับฟังด้วยนะครับ
Lorem ipsum dolor sit amet...
ทั่วโลกได้รู้จักจากภาพยนตร์แอนิเมชั่นจากดิสนีย์ที่ตราตรึงใจคนดูกันมาแล้ว เรื่องราวของหญิงสาวชาวอินเดียนแดงที่ช่วยชีวิตชายหนุ่มชนชาติอังกฤษอย่างจอห์นสมิธที่เดินทางมาเพื่อสำรวจดินแดน New World โดยจอห์นสมิธนั้นถูกจับและก่อนที่เขาจะเป็นอันตรายบรรทัดก็ได้เข้ามาขวาง และช่วยชีวิตเขาเอาไว้เป็นเหตุให้ทั้งสองท่านพบรักกันก่อนที่ความสัมพันธ์ระหว่างชาวอาณานิคมกับชาวอินเดียแดงจะแย่ลงจนเกือบจะเกิดสงครามหนุ่มสาวทั้งสองคนจึงต้องพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อป้องกันไม่ให้สงครามเกิดขึ้นได้
เรื่องราวของพวกเขาบรรทัดในจอเงินนั้นสวยงามและยิ่งใหญ่แต่หลายๆคนน่าจะรู้กันดีว่าหลายๆครั้งที่นี่ต้องเปลี่ยนแปลงเนื้อหาตำนานต่างๆเพื่อให้เหมาะกับภาพยนตร์และกลุ่มคนดูมากขึ้นเรื่องราวของหญิงสาวผู้เป็นสะพานความสัมพันธ์ของชนชาตินี้ก็เหมือนกันชีวิตของเธอนั้นไม่ได้สวยงามเหมือนกับที่เราเห็นในอนิเมชั่นเรื่องราวของภูเขาขนาดนั้นไม่ได้มีบันทึกเอาไว้ตลอดในบางช่วงชีวิตของเธอก็ไม่มีหลักฐานใดๆที่หลงเหลือบอกแล้วเอาไว้เรื่องของเธอในหลายๆจุดจะยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในปัจจุบันโดยหากจะกล่าวถึงเรื่องราวของชีวิตเธอเราขอแบ่งออกเป็น 2 ช่วงคือตามหลักฐานบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรจากฝั่งชาวอังกฤษและจากการคาดเดาของนักประวัติศาสตร์ซึ่งอาจไม่ได้แตกต่างจากฉบับอนิเมชั่นมากนักและ 2 คือสัตว์ตำนานคำบอกเล่าที่กล่าวว่ารวบรวมจากผู้สืบเชื้อสายชาวพื้นเมืองซึ่งในฉบับนี้เรื่องราวของโพคาฮอนทัสนั้นเต็มไปด้วยโศกนาฏกรรมมากมาย
และอาจไม่เหมาะกับผู้ชมทั่วไปซึ่งเราจะพยายามแยกแยะประเด็นและพูดถึงเรื่องความน่าจะเป็นเพราะอย่างที่กล่าวไปว่าเรื่องของเธอบางช่วงไม่ได้มีการบันทึกเอาไว้ชัดเจนหรือหลักฐานที่สูญหายไปอย่างนั้นผู้ชมกรุณาใช้วิจารณญาณนะครับเริ่มการที่บันทึกตามหลักฐานชื่อจริงของเธอคือมาตัวค่ะส่วนพวกเราไม่ใช่ชื่อที่แท้จริงแต่เป็นชื่อที่คนอื่นใช้เรียกเธอโดยมีความหมายเราเด็กขี้เล่นจากการที่เธอทุกคนตั้งแต่เด็กหลายๆฝ่ายเชื่อว่าโพคาฮอนทัสนั้นเดือนตุลาปี 1596 โดยเธอเป็นลูกสาวของวันเสนอราคาหรือผู้นำมาจากบริเวณเวอร์จิเนียในปัจจุบันที่รวบรวมชาวเผ่าอินเดียแดง 30 เผาในนามอาณาจักรมหัศจรรย์ 607 กัปตันจอห์นสมิธพร้อมกับกลุ่มผู้ตั้งอาณานิคมหมายถึงร้อยคนเดินทางมาที่เวอร์จิเนียเพื่อขยายถิ่นฐาน
โดยได้รับการสนับสนุนจากเวอร์จิเนีย Company ทั้งหมดนั้นสร้างเมืองในชื่อเจมส์ทาวน์ซึ่งได้พบชาวพื้นเมืองอินเดียนแดงเป็นระยะทางในแบบเป็นมิตรและไม่เป็นมิตรในปีนั้น Smith ก็ถูกชาวนาธานจับตัวไว้ซึ่งเหตุการณ์การพบกันที่โด่งดังของทั้งคู่ก็มาจากตรงนี้นี่เองนั่นคือกำลังจะถูกชาวประธานสังหารขนาดนั้นเองพวกเขารีบเข้ามาฝากเอาไว้ช่วยเขารอดชีวิตออกมาได้ซึ่งเหตุการณ์นี้กล่าวถึงในจดหมายของเขาในปี 2606 และเราอย่างชัดเจนมากขึ้นในปี 1624 หลายปีหลังจากเสียชีวิตมีนักประวัติศาสตร์หลายคนเชื่อว่า Smith ตั้งใจแต่งเรื่องนี้ขึ้นเพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้การเดินทางของตัวเองเพราะเรื่องนี้ใกล้เคียงกับเรื่องราวของกะลาสีชาวสเปนควร ocs ซึ่งถูกจับตัวไว้ถึง 11 ปี และถูกตัดสินประหารหลายครั้งก่อนที่จะถูกช่วยไว้เดี๋ยวลูกสาวหัวหน้าเผ่าทุกครั้งจนเขาสามารถหนีรอดออกมาได้
เรื่องของออติสถูกเผยแพร่ในปี 1609 หลายปีก่อนที่จะพูดถึงเรื่องของตนเองรวมถึงในบันทึกของสมิธเอง p1608 ปีเดียวหลังจากถูกจับกล่าวไว้เพียงว่าเขาได้เข้าร่วมงานเลี้ยงและพูดคุยแลกเปลี่ยนกับและหลังจากนั้นหลายเดือนจึงได้พบกับซึ่งในเวลานั้นพวกเรามีอายุแค่ 13 ขวบเท่านั้นในขณะที่ Smith อายุ 28 ถึง 29 ปีแล้วดังนั้นเรื่องราวความรักของทั้งคู่จึงไม่น่าจะเกิดขึ้นจริงอย่างไรก็ตามช่วงเวลานี้เองที่ทั้งสองคนได้พูดคุยแลกเปลี่ยนและสนิทกันโดยทั้งคู่สามารถใช้คำง่ายๆในภาษาของอีกฝ่ายได้นอกจากนี้โพคาฮอนทัสยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับชาวเจมส์ทาวน์เธอมักจะเดินทางมาพร้อมกับทะเบียนที่บางอันส่งมาให้กับชาวจีนชาวที่กำลังขาดแคลนและเธอมักเดินทางไปมาระหว่างทั้งสองฝั่งด้วยคำว่าหลังจากนั้นต้องปิดเครื่องขยายอาณานิคมออกไปมากขึ้นทำให้เริ่มมีการขัดแย้งกันกับชนดินแดงกระทั่งจอห์นสันได้รับบาดเจ็บหนักจากดินปืนระเบิดในปี 1609 ทำให้เขาต้องเดินทางกลับไปรักษาตัวที่อังกฤษ
ซึ่งนักประวัติศาสตร์บางคนตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นเพราะเจ้าเมืองกบฏมากกว่าที่จะเป็นอุบัติเหตุเมื่อพวกเขาทักมาที่เจมส์ทาวน์ชาวเมืองบอกกับเธอว่า Smith นั้นตายไปแล้วพวกเขาจึงไม่ได้เดินทางมาที่เมืองอีกความสัมพันธ์ระหว่างชาวอังกฤษได้ชนพื้นเมืองแย่ลงจนเกิดเป็นสงครามซึ่งในระหว่างนี้ชนพื้นเมืองสามารถจับตัวชาวอาณานิคมไม่ได้หลายคนปี 1613 ฝั่งอาณานิคมจึงวางแผนจับตัวโพคาฮอนทัสเอาไว้เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวชาวอังกฤษและคืออาวุธและเครื่องมือที่โดนยึดไปในการเจรจานั้นไม่สำเร็จแม้ของชนพื้นเมืองจะปล่อยตัวจะเลยกลับมาได้ครับตกลงคืออาวุธและเครื่องมือกันไม่ได้ทำให้พวกเขาบรรทัดยังถูกจับเอาไว้ภายใต้การดูแลของ Thomas tuchel ผู้ว่าของเมืองจีน Sound ในจุดนี้อาจมีคนเคยได้ฟังเรื่องราวที่น่าเศร้าของเธอมาตอนนี้ขอให้เราข้ามไปก่อนแล้วจะกลับมาพูดถึงกันอีกครั้งภายหลัง ทั้งสองฝ่ายก็เจรจาสงบศึกก็ได้ชั่วคราวในระหว่างนี้
โพคาฮอนทัสได้รับการสอนภาษาอังกฤษรวมถึงศาสนาคริสต์ซึ่งภายหลังเธอได้เข้าร่วมพิธีบัพติศมาแล้วใช้ชื่อใหม่ว่า deca ทว่าในเดือนมีนาคม 1614 สถานการณ์ของทั้งสองฝ่ายก็แย่ลงจนเกิดการปะทะกันในตอนนั้นมีบันทึกด้วยว่าชาวพม่าทานได้พูดคุยกับโฟกัสแต่เธอแสดงความไม่พอใจที่ถูกทอดทิ้งเลยเลือกจะอยู่กับชาวอาณานิคมที่รักเธอจึงย้ำอีกครั้งว่านี่เป็นบันทึกจากฝั่งของชาวอังกฤษ ในปีเดียวกันนี่เองก็ได้แต่งงานกับชาวอังกฤษที่จอดรถเพราะกลัวว่าจะไม่ยอมรับการแต่งงานของเขาจึงเขียนจดหมายขออนุญาตจากโทมัสเซลล์ซึ่ง Thomas อนุญาตและเป็นผู้ดูแลงานแต่งให้ทั้งสองคนภายในงานแต่งกายด้วยชุดของชาวยุโรปของเธอ
ในฐานะญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายหญิงและผู้ชาย 2 คนได้เดินทางมาร่วมงานแต่งด้วยปีถัดมาเธอก็ให้กำเนิดบุตรชายที่ชื่อว่าโทมัสรอฟการแต่งงานของทั้งคู่เกิดข้อครหาอยู่บ้าง เนื่องจากมีการมองว่าโพคาฮอนทัสนั้นเคยเป็นคนไร้ศาสนาและฐานะของล้อเป็นคนธรรมดาไม่เหมาะสมกับตำแหน่งของพวกเขาอย่างไรก็ตามการแต่งงานของทั้งคู่ส่งผลให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝั่งดีขึ้นจากสงครามกลายเป็นการแลกเปลี่ยนและการค้าสงบสุขเป็นเวลาถึง 8 ปีตัวของจ๊อบเองเป็นคนสำคัญของเจมส์ทาวน์เขาได้มาเล่นยาสูบ Vigo จากทะเลสเปนหลายปีก่อนแล้วนำมาลองผิดลองถูกปลูกบนแผ่นดินใหม่นี้จะได้ผลในปี 1912 กระทั่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของชาวอาณานิคมภายหลัง The Best Company มองเห็นโอกาสในการนำเสนอโพคาฮอนทัสในฐานะความสำเร็จในการเปลี่ยนชาวชนเผ่าให้มานับถือศาสนาคริสต์ได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายของบริษัทจึงเสนอให้ลอฟท์
และครอบครัวเดินทางไปยังเกาะอังกฤษ John Smith ที่รู้ข่าวจึงเขียนจดหมายถึงคุณแอนถึงความสำคัญของพวกเขาบรรทัดว่าเป็นผู้ที่พระราชินีควรได้พบและควรได้รับการปฏิบัติอย่างเหมาะสมเพื่อให้เกิดความบาดหมางกับชาวนาทันและเสียโอกาสในดินแดนเวอร์จิเนีย Smith อยากเรียกเธอว่าเป็นธิดาของราชามาทันเหมือนกับที่เวอร์จิเนีย Company เรียกเธอว่าเป็นเจ้าหญิงแม้จะไม่ตรงตามธรรมเนียมของชาวบางอันก็ตามซึ่งบางแห่งวิเคราะห์ว่า John Smith ตั้งใจจะเพิ่มความสำคัญของตนเองหลังจากเสียการสนับสนุนจาก the venisia company นั่นเองไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดครอบครัวโพคาฮอนทัสพร้อมชาวพื้นเมืองอีกหลายคนก็ได้เดินทางมายังปิดในปี 2516 ตามด้วยการเข้าพบคิมเจมส์แล้วคุยในปีถัดมาปรากฏตัวในงานสังคมอีกหลายครั้งสร้างความฮือฮาให้กับชาวอังกฤษ
ในฐานะเจ้าหญิงแห่งพาทันในการมาที่อังกฤษครั้งนี้เองทำให้พวกเขาได้พบกับจอห์นสมิธอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้เจอกันไปหลายปีในบันทึกของจอห์นสมิธกล่าวไว้ว่าไม่พอใจของเขาจนไม่สามารถพูดออกมาได้จึงต้องให้เวลาใช้อยู่คนเดียวหลายชั่วโมงกว่าที่เธอเอ่ยปากพูดกับเขาหรือเปล่ากับ Smith ว่าเขาให้คำมั่นกับพ่อของเธอว่าสิ่งใดที่เป็นของสมิธก็นับเป็นของพ่อเธอและฉันไม่อยากเรียกเขาว่าพ่อในดินแดนของคนแปลกหน้าซึ่งเธอก็จะทำแบบเดียวกัน Smith ปฏิเสธด้วยเหตุผลว่าตัวเขาไม่คู่ควรจะถูกเรียกแบบนั้นจากลูกสาวแห่งพระราชาโพคาฮอนทัสจึงตอบกลับไปว่าจะไม่กล้าที่จะเข้ามาในแดนของพ่อเธอและสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คนในครอบครัวที่จะถูกเธอเรียกว่าพ่อเธอยืนยันที่จะเรียกแบบนั้นและให้ฉันเรียกเธอว่าลูกและเธอจะเป็นคนชาติเดียวกันกับฉันตลอดไปเธอยังบอกอีกว่า
เจมส์ทาวน์บอกเธอว่าสวิตช์ตายไปแล้วแต่พ่อของเธอนะไม่เชื่อและให้สืบหาข่าวของเขามาถึงอังกฤษโดยกล่าวว่าคนเหล่านี้มักโกหกหลังจากนั้นในเดือนมีนาคม 1617 ครอบครัวของพวกเขาก็เดินทางกลับไปยังเวอร์จิเนียถามว่าระหว่างการเดินทางเช่าอินทรีแดงทุกคนกลับป่วยรวมถึงพวกเขาบรรทัดและลูกชายโทรมาซ้อมที่อายุเพียง 2 ขวบด้วยพวกเขาหยุดพักที่เกิดเส้นทางตอนเหนือของอังกฤษเพราะพวกเขาเดินทางต่อไม่ไหวอีกแล้วโทรเข้าปอดติดเชื้อรุนแรงซึ่งหมอในบริเวณนั้นก็ไม่สามารถช่วยเธอได้นักประวัติศาสตร์คาดว่าเธอน่าจะเป็นโรคปอดอักเสบหรือโรคติดเชื้อในทางเดินหายใจอื่นๆภายที่สุดปี 1617 โพคาฮอนทัสก็เสียชีวิตลงด้วยอายุเพียง 21 ปีและถูกฝังศพไว้ในเมืองนั้นโดยเธอเคยกล่าวไว้ว่าการกลัวตายนะเป็นความอัปยศดังนั้นเมื่อถึงคราวควรจากไปอย่างเข้มแข็ง
ชนพื้นเมืองอีกหลายคนก็เสียชีวิตเช่นกันและอีกหลายคนป่วยหนักจนเดินทางต่อไม่ได้แต่โชคยังดีสำหรับจอดรถที่ลูกชายอาการดีขึ้นจนหายป่วยแต่โทมัสนั้นยังอ่อนแอมากกัปตันของเรือจึงเสนอให้ฝากลูกชายไว้ในเมืองแทนแม่ตอนแรกก็ไม่ยอมที่จะแยกจากลูกชายแต่ว่าเสี่ยงเกินไปที่จะเดินทางจึงต้องยอมฝากผู้ชายไว้กับญาติยังไม่เต็มใจในจดหมายเขาขอให้พาลูกชายกลับมาหาเขาเมื่อโตและแข็งแรงขึ้นแต่ทั้งสองก็ไม่ได้เจอกันอีกเลยหลังจากภูเขาทักไปได้ 1 ปีชี้ฟ้ามาทันผู้เป็นพ่อก็เสียชีวิตความสัมพันธ์ของฝ่ายอาณานิคมของชนพื้นเมืองก็แย่ลงจนกลายเป็นศัตรูกันในเวลาต่อมาจะเห็นว่าตามประวัติศาสตร์แล้วชีวิตของเธอนั้นซับซ้อนและไม่ได้สวยงามเท่าไหร่นักเธอต้องเกี่ยวพันกับปัญหาของชนชาติอย่างเลี่ยงไม่ได้ทั้งนี้ในปี 2007 และมีการเผยแพร่เรื่องราวอีกด้านที่น่าเศร้ายิ่งกว่าที่เคยมีผู้ใดกล่าวไว้โดยเนื้อหานั้นมีทั้งความรุนแรงและการล่วงละเมิดที่โหดร้ายดังนั้นโปรดรับชมต่อด้วยวิจารณญาณในหนังสือชื่อ The true story of patient the other side of History ปี 2007 ของ limassol
มีเนื้อหาที่แตกต่างจากแหล่งอื่นโดยกล่าวว่าหนังสือนี้เป็นการรวบรวมประวัติของโพคาฮอนทัสในมุมที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อนนั่นคือจากคำบอกเล่าที่สืบทอดต่อกันมา 400 ปีจากญาติของพวกเขาเองภายในหนังสือนี้เหตุการณ์สำคัญต่างๆนั้นตรงกันกับบันทึกของชาวยุโรปแต่สิ่งที่แตกต่างกันคือเบื้องหลังของเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นเช่นใดต่อที่จอห์นสมิธถูกจับตัวเอาไว้และคิดว่าตัวเองกำลังจะถูกสังหารคัทลียาธิบายว่านั่นเป็นพิธีกรรมหนึ่งของเขาที่ทำขึ้นเพื่อรับสวิตซ์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของชนเผ่าแต่เขาเข้าใจผิดไปเองว่ากำลังมีอันตราย 4.1 ที่หนังสือกล่าวถึงคือความสัมพันธ์ของโพคาฮอนทัสกับจอยลอฟท์น่าจะเป็นการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์นั่นคือจอห์นล็อคต้องการใช้พื้นที่บนเวอร์จิเนียเพื่อปลูกยาสูบก่อนที่จะกลายเป็นมหาเศรษฐีในภายหลัง
และพวกเขาบรรทัดต้องแต่งงานเพื่อให้ตัวเองได้รับการปล่อยตัวจากการเป็นนักโทษและเกิดความปรองดองระหว่างทั้งสองฝั่งและสิ่งที่น่าตกใจที่สุดมาจากเรื่องราวที่โพคาฮอนทัสถูกจับตัวไว้กล่าวว่าโพคาฮอนทัสนั้นแต่งงานอยู่ก่อนแล้วกับครูคุมและมีลูกด้วยกันถ้าว่าฟังอาณานิคมบุกปล้นบ้านของพวกเธอและค่าควบคุมก่อนจะจับเธอไปในช่วงเวลาที่เธอถูกจับไปนั้นเขากล่าวไว้ว่าถูกข่มขืนและทรมานต่างๆนานาจากคนของเจมส์ทาวน์โดยเฉพาะ Thomas tuchel ที่เป็นผู้ว่าของเมืองจนเธอนั้นตั้งท้องลูกชายซึ่งลูกของเธอก็ได้ชื่อว่าโทมัสจากการที่โทรมาเร็วน่าจะเป็นพ่อที่แท้จริงในช่วงสุดท้ายของชีวิตที่เสียชีวิตก่อนวัยอันควรนั้นก็ไม่ใช่เพราะโรคใดๆแต่เป็นเพราะเธอและชนเผ่าทุกคนนั้นโดนวางยาพิษตัวหนังสือนั้นมีจุดยืนที่ชัดเจนว่าชนเผ่าและภูเขาบรรทัดคือเหยื่อที่เกิดจากความโลภมากและมีอำนาจของชาวยุโรปแม้ว่าเนื้อหาของหนังสือจะเป็นไปได้
และจุดประเด็นคำถามหลายๆอย่างแต่เราต้องศึกษาเนื้อหาด้วยความระมัดระวังและไม่ควรยึดแบบใดแบบหนึ่งเป็นหลักเรื่องราวที่แท้จริงของโพคาฮอนทัสนั้นยังมีการถกเถียงอยู่เสมอบันทึกประวัติของเธอนั้นไม่ได้มีรายละเอียดที่ชัดเจนเหมือนกับนักสำรวจหรือบุคคลสำคัญอื่นๆ Camera แถวเส้นนักประวัติศาสตร์และอาจารย์มหาวิทยาลัยวิชาประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านประวัติของชนพื้นเมืองอเมริกันและเป็นผู้เขียนหนังสือโพคาฮอนทัส andamana เคยกล่าวว่าชนพื้นเมืองนั้นไม่ได้ยกย่องโพคาฮอนทัสแบบเดียวกันกับที่ชนชาติอื่นๆโดยเฉพาะแบบที่ชาวยุโรปนั้นมองจากการที่เธอเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เข้ากับวัฒนธรรมยุโรปอีกครั้งเรื่องราวของเธอยังถูกไล่ออกไปมากมายโดยส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากนักประวัติศาสตร์เสียอย่างนั้นซึ่งนั่นก็รวมถึงจากวีดีโอของเราด้วยเช่นกันเรื่องราวของเธอหลายๆอย่างนั้นมาจากหน้าบันทึกเรื่องราวหรือเหตุการณ์ประวัติของผู้อื่นซึ่งถ้าพูดกันตามตรงแล้วความน่าเชื่อถือของบันทึกเหล่านั้นก็ไม่สามารถยกให้เป็นที่สุดได้
เช่นบันทึกของจอห์นสมิธนั้นเคยเป็นบันทึกที่ได้รับการเชื่อถือมากที่สุดทั้งที่ความจริงแล้วเขาไม่ใช่ผู้ที่บันทึกตามความเป็นจริงเสมอไป John Smith คือนักสำรวจและนักเดินทางที่เก่งกล้าหาญและมีความสามารถแต่เขาก็ได้ชื่อว่ามักสร้างเรื่องต่างๆขึ้นมาเพื่อยกยอตนเองมากเกินความเป็นจริงเรื่องการเดินทางการค้นพบต่างๆหรือกระทั่งเรื่องผู้หญิงนอกจากเรื่องที่พวกเราช่วยเขาเอาไว้ยังมีบันทึกในรัสเซียและตุรกีที่เขาบอกว่าต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากก่อนที่จะได้รับการช่วยเหลือจากหญิงสูงศักดิ์และคล้ายกันแต่ถึงแม้ในส่วนดังกล่าวจะไม่ค่อยน่าเชื่อถือแต่บันทึกที่โพคาฮอนทัสพูดกับเขาเที่ยงคืนนั้นกลับต่างออกไปเพราะเป็นเหตุการณ์ที่โพคาฮอนทัสแสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจนถึงการที่สมิตไม่รักษาสัญญากับพ่อของเธอและหายไปเสียอย่างนั้นเชื่อว่า Smith ที่หวังว่าเธอจะดีใจที่ได้พบเขา แต่คาดไม่ถึงว่าจะถูกต่อว่าท่ามกลางพยานอีกหลายคนอีกทั้งยังไม่ชัดเจนว่าสัญญาของสมิธกับผู้นำพระธรรมนั้นคืออะไรกันแน่อีกทั้งบันทึกนี้ไม่ได้เขียนขึ้นอิทธิพบกันไม่มีใครรู้ว่าเขาจะจำคำพูดได้แม่นยำแค่ไหนหรือตัว Smith มองเห็นความสำคัญของการพบกันนี้เท่ากับที่นักประวัติศาสตร์ปัจจุบันมองมันหรือไม่ขณะที่เมื่อมองเนื้อหาของหนังสือของก๊าซที่เต็มไปด้วยความรุนแรงและโหดร้ายเองเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งของเวอร์จิเนียเขาสร้างประโยชน์ให้กับชนพื้นเมืองเป็นอย่างมากจนกระทั่งเขาเสียชีวิตในปี 2014
แต่หนังสือของเขาแตกต่างขัดแย้งกับแหล่งอื่นๆแม้กระทั่งคำพูดของตัวเขาเองถึงจะมีบางส่วนที่น่าเชื่อถือแต่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในหมู่ของนักประวัติศาสตร์และนักวิชาการว่าเป็นหนังสือที่ไม่อาจใช้เป็นแหล่งอ้างอิงได้เนื้อหาทั้งหมดนั้นถูกตีความว่าเป็นประวัติศาสตร์แบบปากต่อปากร่วมถึงเป็นไปได้มากกว่าจะถูกเขียนขึ้นโดยเชื่อมโยงและปรับแต่งให้ตรงกับประวัติศาสตร์จึงไม่ใช่แค่เรื่องของพวกเขาเท่านั้นหนังสือของทัสสโรยังขาดกับประวัติของชนพื้นเมืองอีกหลายจุดดังนั้นจึงต้องใช้การวิเคราะห์เนื้อหามากเป็นพิเศษเช่นการอ้างว่าเธอแต่งงานกับครูคุมนักรบของชนเผ่าก่อนจะถูกฆ่าและโพคาฮอนทัสก็ถูกจับตัวไปแต่ในบันทึกของภาษาอังกฤษฉบับเดียวที่กล่าวถึงคุ้มมาจากบันทึกของ William stretching ในปี 1617 ที่กล่าวว่าพวกเขาบรรทัดแต่งงานกับกัปตันควบคุมอยู่เป็นเวลา 2 ปีซึ่งในความเป็นจริงคือเธอแต่งงานกับจอห์นล็อคในปี 1614 จึงเป็นไปได้ว่าอาจจะตั้งใจหมายถึงล้อมแต่ถูกไล่ออกไปผิดพลาดกลายเป็นหนึ่งในชนพื้นเมืองก็เป็นได้หรือการที่หนังสืออ้างว่าพ่อของโทมัส soft คือ Thomas tuchel เพราะตั้งชื่อตามพ่อที่แท้จริงและแนบรูปภาพที่กล่าวว่าเป็นโพคาฮอนทัสกับลูกชายอายุ 3 ขวบทั้งที่รูปดังกล่าวแท้จริงเป็นรูปของเพียวภรรยาของอ๊อดเซลลากับลูกชายและในสมัยนั้น
การตั้งชื่อตามผู้เป็นพ่อไม่ใช่เรื่องที่ทำกันบ่อยอยู่แล้วเช่น John Smith John of หรือ Thomas alva ที่ไม่ได้ตั้งชื่อตามพ่อของตนเองเป็นต้นในอีกกรณีที่โหดร้ายอย่างการข่มขืนนั้นยังเป็นที่ถกเถียงเพราะการกระทำแบบนี้จะส่งผลเสียอย่างมากในการต่อรองตัวประกันและเสี่ยงต่อสงครามแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีการข่มขืนนักโทษชนพื้นเมืองหญิงจริงๆในช่วงเวลานั้นนอกจากนี้การเสียชีวิตของเธอและชนพื้นเมืองที่เดินทางไปอังกฤษด้วยกันนั้นเป็นไปได้ว่ามาจากการที่ชาวอินเดียแดงไม่ได้มีภูมิคุ้มกันต่อโรคบนแผ่นดินชาวยุโรปและเมื่อเวลาผ่านไปก็ได้เกิดโรคระบาดภายในกลุ่มชนพื้นเมืองในเวอร์จิเนียเช่นกันอีกเรื่องคือความสัมพันธ์ของภูเขาบรรทัดกับจอห์นล็อคหนังสืออ้างว่าเกิดขึ้นเพื่อผลประโยชน์ขณะที่บันทึกของจอห์นล็อคเองกล่าวไว้ว่า hocus และตัวเขานั้นไม่เป็นแบบที่ใครเหนือกว่าใครกลับกันมักเป็นผู้จัดการดูแลเรื่องต่างๆเองและภายในบ้านของเธอมีคนงานชาวเผ่าอาศัยกับเธออีกหลายคนรวมถึงการที่เธอกล้าที่จะทำตามที่ใจตัวเองต้องการซึ่งหากเราพูดจริงก็แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้มีอำนาจเหนือกว่าโพคาฮอนทัสดังนั้นประวัติของพวกเขาจึงยังไม่มีคำตอบที่แน่นอนและชัดเจนว่าเป็นอย่างไรกันแน่บันทึกต่างๆที่สูญหายไปในระหว่าง 400 ปีที่ผ่านมานั้นทิ้งช่องว่างไว้ให้ยังต้องศึกษากันต่อไป
เรื่องราวของภูเขาบรรทัดนั้นอยู่ตรงกลางระหว่างความขัดแย้งของฝ่ายชนพื้นเมืองและชาวอาณานิคมและเรื่องราวในหนังสือของเค้าจะมีช่องโหว่และอ้างอิงไม่ได้แต่ก็ไม่อาจมองข้ามความสำคัญจากการเป็นหนึ่งในหลักฐานไม่กี่อย่างที่ออกมาจากฝั่งของชนชาวพื้นเมืองและบันทึกของชาวยุโรปที่มีเนื้อหาที่ละเอียดจะต้องได้มากกว่าและสามารถนำมาวิเคราะห์หาความจริงได้ดีกว่าก็มักมีปัญหาว่าพวกเขาตีความเข้าข้างฝั่งตัวเองมากเกินไปหรือรอเขาบอกหน้าที่เผยแพร่กันเป็นเวลานานนั้นไม่ได้มาจากนักวิชาการเสมอไปแต่สิ่งหนึ่งที่หลายฝ่ายเห็นตรงกันก็คือโพคาฮอนทัสเป็นผู้ที่ยืนอยู่กลางความซับซ้อนของชนชาติแต่ก็สามารถรับมือได้เป็นอย่างดีและสุดท้ายแล้วไม่มีบันทึกได้เลยที่เป็นคําพูดหรือขวาของคนที่สำคัญที่สุดของเรื่องราวนี้นั่นก็คือคำพูดของพวกเราเอง
Pocahontas เรื่องเหล่าจากอินเดียแดง ที่ใครหลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจ เพราะมันเป็นเรื่องราวที่ถูกลบออกจากประวัติศาสตร์อีกด้านที่ซับซ้อน อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หน้าเว็บไซต์ของเราได้เลย อ่านฟรีนะครับ