ทฤษฎีที่ยังไร้บทสรุป หรือมนุษยชาติจะอยู่ในโลกเสมือน?

ทฤษฎีที่ยังไร้บทสรุป

ทฤษฎีที่ยังไร้บทสรุป

จะเป็นอย่างไรเมื่อวันหนึ่งที่คุณต้องจากโลกนี้ กลับพบว่าได้ตื่นขึ้นในโลกที่แตกต่างออกไป จะเป็นอย่างไรหากสิ่งต่างๆที่คุณเคยได้เห็นได้ยินได้สัมผัสไม่ใช่ของจริง แล้วจะเป็นอย่างไรหากร่างกายที่คุณมีอยู่โลกที่จับต้องได้กลับเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในเรื่องสมมติของจักรวาลที่ถูกสร้างขึ้น ความสัมพันธ์ความสำเร็จประสบการณ์ชีวิตทั้งหมดที่คุณเคยมี กลายเป็นสิ่งที่ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อโลกใหม่ที่คุณได้ลืมตาตื่นขึ้น แม้จะฟังดูเหมือนเป็นเรื่องของหนังไซไฟ แต่ถ้าผมบอกกับคุณว่าทฤษฎีนี้อาจเป็นไปได้คุณจะเชื่อผมไหม คุณจะกลัวหรือเปล่าและคุณจะสนใจมันหรือไม่ ราวๆ 2300 ปีก่อนจวงจื่อหรือจวงโจนักปราชญ์ชาวจีนได้บันทึกเรื่องราวตัวเขาเองเอาไว้ ในบันทึกหรอว่าวันหนึ่งจวงจื้อได้หลับลงและฝันว่าตนเองเป็นผีเสื้อโบยบินไปมาอย่างสบายใจ ไม่ได้รู้สึกเลยว่าตัวมันคือจวงโจ ก่อนที่มันจะตื่นขึ้นแล้วรู้สึกตัวได้ว่าที่แท้แล้วตนเองก็คือจวงโจ เขามั่นใจแน่นอนว่าตัวตนที่แท้จริงมีเพียงอย่างเดียวไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง 

เพียงแต่ก็เกิดสับสนขึ้นว่าแท้จริงแล้วตนเองคือจวงโจที่ฝันว่าเป็นผีเสื้อ หรือว่าเป็นผีเสื้อที่กำลังฝันว่าตัวเองคือจวงโจ เรื่องผีเสื้อของจวงโจคือการสะท้อนแนวคิดเห็นว่าสิ่งที่เราได้รับรู้นั้นอาจไม่ใช่ความเป็นจริง แต่ขณะเดียวกันมันก็สามารถตั้งคำถามได้อีกว่า โลกทั้งหมดที่กำลังเป็นอยู่นั้นคือความจริงหรือเป็นเพียงโลกสมมุติที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยเหตุผลบางอย่าง ทฤษฎีโลกเสมือนคือการตั้งสมมติฐานความเป็นไปได้ว่า จักรวาลที่เรารับรู้อาจเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นแล้วทั้งหมดไม่ใช่เรื่องจริง แนวคิดนี้สามารถมองย้อนกลับไปได้หลายพันปี เช่นตัวอย่างของจวงโจและมีการนำไปเถียงกันในแง่ของปรัชญาและฟิสิกส์ ก่อนที่จะถูกนำไปใช้ในงานศิลปะหลากหลายและโด่งดังที่สุดคือ The Matrix ในปี 1999

แม้จะฟังดูหลุดโลกแต่ทฤษฎีนี้ได้รับการถกเถียงและได้รับความสนใจอย่างจริงจังมาเป็นเวลานานแล้ว นั่นเพราะทฤษฎีนี้ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เพราะความจริงที่เรารับรู้อาจมีความจริงที่เราไม่สามารถเข้าใจได้ซ่อนอยู่เบื้องหลัง ความจริงคืออะไรสิ่งต่างๆที่เราเข้าใจนั้นเกิดจากการรับรู้ต่างๆที่ส่งผ่านไปยังสมอง ภาพที่คุณกำลังเห็นเสียงที่กำลังได้ยินสิ่งต่างๆที่คุณสัมผัสได้นั้น ในความเป็นจริงมันอาจประกอบด้วยสิ่งที่คุณมองไม่เห็นเรียงร้อยต่อกันอยู่เบื้องหลัง ดังนั้น ความจริงที่คุณรับรู้อาจเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของความจริงที่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก ตัวอย่างที่ถูกยกขึ้นมาเพื่อตั้งคำถามถึงความสามารถในการรับรู้ความจริงของมนุษย์ มาจาก Play Store

นักปรัชญาชาวกรีกโบราณที่มีชีวิตอยู่ในศตวรรษมาจากจวงจื่อ หรือถ้ำของเพลโตกล่าวถึงนักโทษกลุ่มหนึ่งที่มีชีวิตอยู่ในถ้ำมาตั้งแต่เกิด พวกเขาถูกดึงไม่อยู่กับที่ให้หันหน้าเข้าหาผนังถ้ำที่ว่างเปล่าได้เพียงด้านเดียว พวกเขาเหล่านี้อยู่ในถ้ำที่ลึกจนไร้แสงอาทิตย์สาดส่องเข้าไป มีเพียงแสงจากเปลวไฟที่ถูกจุดขึ้นด้านหลังสิ่งที่พวกเขามองเห็นได้ มีเพียงแค่เงาที่พาดผ่านมาจากอะไรก็ตามที่ผ่านหลังของพวกเขาไป พวกเขาเริ่มตั้งชื่อดังๆให้กับเงาเหล่านี้แล้วมันกลายเป็นความจริงทั้งหมดที่พวกเขารู้จัก ปราศจากการรับรู้สิ่งที่นอกเหนือจากเงาเหลานั้น กระทั่งหนึ่งในคนเหล่านี้ถูกปล่อยออกมานอกถ้ำและได้สัมผัสกับแสงอาทิตย์ที่แล้วจ้าครั้งแรก เขาก็ได้พบความจริงว่าสิ่งที่เขาเคยรับรู้และเข้าใจเทียบไม่ได้เลยกับโลกทั้งใบที่เขาไม่รู้จัก

เงาต่างๆที่พวกเขาคิดว่าคือความจริงกลับเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของความจริงที่สะท้อนเพียงเล็กน้อย ให้เขาได้เห็นมาตลอดชีวิตแนวคิดดั้งเดิมของเพลโตคือการสื่อว่า ผู้คนส่วนใหญ่ปฏิเสธได้แม้กระทั่งความเป็นจริง หากสิ่งเหล่านั้นสอนยากเกินกว่าที่จะเข้าใจ เพลโตเปรียบนักโทษที่ถูกปล่อยออกมาว่าเป็นตัวนักปรัชญาเองที่ได้ค้นหาและรับรู้ถึงสัจธรรมต่างๆแล้ว เมื่อพยายามกลับเข้าไปอธิบายสิ่งที่ได้เจอให้กับคนในถ้ำฟัง เขากลับถูกปฏิเสธและถูกหาว่าเรื่องราวเหล่านั้นเป็นเพียงแค่เรื่องโกหก คนในถ้ำก็ยังเลือกที่จะอยู่ในถ้ำต่อไปขณะเดียวกันคนที่เคยออกสู่โลกภายนอกไม่สามารถมองสิ่งที่ครั้งหนึ่ง เคยเชื่อว่าเป็นทุกอย่างได้เหมือนเดิมอีกต่อไป ถ้ำของเพลโตและผีเสื้อจวงจื่อกลายเป็นตัวย่อที่ถูกนำไปถูกเถียงและต่อยอดออกไปตลอด 2000 ปีที่ผ่านมา มนุษย์รับรู้สิ่งต่างๆผ่านประสาทสัมผัสหากสิ่งต่างๆถูกจำกัดลงเราก็จะไม่สามารถรับรู้ถึงเบื้องหลังที่ซ่อนอยู่ได้ คุณอาจจะรู้อยู่แล้วว่าเสียงของผมที่คุณกำลังฟังอยู่ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะตัวผมอยู่ตรงหน้าคุณจริงๆ

ซึ่งเราคงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ที่ศึกษาและเชี่ยวชาญจริงๆ ในการหาคำตอบของมัน รอให้วันหนึ่งพวกเขาสามารถหาบทสรุปที่แท้จริง และฉุดเราออกไปจากโลกเสมือนนี้ได้ เพียงแต่ในตอนนี้คำตอบเหล่านั้นก็ยังคงเป็นปริศนาที่ยังไม่ชัดเจน และใช้ชีวิตต่อไปให้ดีที่สุดในแบบที่เรายังทำได้ เพราะต่อให้เราอยู่ในโลกเสมือนจริงๆแล้วต้องตื่นขึ้นในโลกที่แตกต่างไปจากที่เรารู้จัก แต่ประสบการณ์และความรู้สึกต่างๆที่เราได้รับรู้ในโลกนี้ ก็เป็นของจริงมากพอแล้วหรือไม่ ตราบใดที่ผีเสื้อยังคงเป็นผีเสื้อมันก็จะใช้ชีวิตต่อไปแบบที่ผีเสื้อควรเป็น

ก็จบไปแล้วนะครับสำหรับเรื่องทฤษฎีที่ยังไร้บทสรุป เพื่อนๆมีความคิดเห็นอย่างไรกันบ้าง หรือข้อมูลของเราผิดพลาดตรงไหน เพื่อนๆสามารถติชมหรือ comment ทิ้งไว้ได้เลยนะครับผม ยังไงก็ฝากกดไลค์กดแชร์กด Subscribe ให้ช่อง พร้อมเหลา ให้ด้วยเพื่อเราจะได้มีกำลังใจในการทำคลิปต่อไปให้เป็นเพื่อนได้รับชมกัน

ใส่ความเห็น